หมวดหมู่อบรมสัมมนา

สำรองที่นั่ง เบอร์โทร 087 0718100 หลักสูตร หลักสูตร “AGILE OKRS แนวคิดการวัดผลแบบสร้างผลลัพธ์ ที่ปราดเปรียวและทรงพลังในยุคดิจิตัล

มีค่าใช้จ่าย 5900 บาท

 หลักการและเหตุผล      

                OKRs เป็นเครื่องมือใช้ในการบริหารจัดการองค์กร ด้วยการกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์หลัก เป็นตัววัดผลเพื่อบอกให้รู้ว่าได้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นแล้ว ความโดดเด่นของ OKRs ถือเป็นตัวประสานระหว่างผู้บริหาร หัวหน้างาน และผู้ปฏิบัติงาน โดยทุกระดับจะต้องกำหนด Objective ที่สนับสนุนและเชื่อมโยงถึงกัน และกำหนดตัววัดผล หรือ Key Results ที่สามารถวัดผลในเชิงปริมาณได้ที่เกื้อหนุน Objectives ในแต่ละระดับด้วยหลายครั้งบางหน่วยอาจจะกำหนด Objective ในรูปแบบนามธรรม จนคิดว่าไม่สามารถกำหนดตัววัดผลเชิงปริมาณได้

            องค์การต่างๆควรกำหนดคำนิยามของเป้าหมายนั้น ๆ ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมในเชิงปฏิบัติการ (oPERATION dEFINITION) เช่น ประสิทธิภาพ คือ ทำงานรวดเร็ว สามารถใช้ตัววัดเป็นระยะเวลาได้ เป็นต้นบางคนอาจจะไม่ชอบการวัดผล แต่ถ้าชีวิตนี้ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีสถิติให้ทำลาย ไม่มีอันดับหนึ่งในก้าวไปถึง ชีวิตนี้คงหมดความหมาย เช่นเดียวกัน ในการทำงานถ้าหากองค์กรใดไม่มีการวัดผล เชื่อว่า การพัฒนาในองค์กรจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

            ที่สำคัญบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่ง เช่น Google, Intel, LinkedIn, Oracle, Twitter ต่างหันมาใช้ OKR กันมากขึ้น และเป็นการใช้แทน KPI แบบที่เราคุ้นเคยกัน  OKR ย่อมาจาก Objective and Key Results ซึ่งเป็นเทคนิคในการตั้งเป้าหมายการทำงานวิธีหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นวิธีที่ใหม่ มีการนำมาใช้ที่ Intel ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 หลังจากนั้นในปี 1999 ก็มีการนำมาใช้ที่ Google แล้วก็กระจายไปตามบริษัทที่เป็น Tech Company ต่างๆ กันมากขึ้น โดยบริษัทต่างๆ ใช้ OKR เพื่อกำหนดและสื่อสารเป้าหมาย และผลลัพธ์ที่คาดหวังให้กระจายไปทั่วทั้งองค์กร โดยมีวัตถุประสงค์หลักที่จะทำให้เป้าหมายของบริษัท ของหน่วยงานต่างๆ และของแต่ละบุคคลมีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกัน รวมทั้งเชื่อมโยงและสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน OKR ช่วยทำให้พนักงานทุกคนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่องค์กรคาดหวังจากพวกเขา อีกทั้ง OKR นั้นจะต้องเป็นที่เปิดเผยทั่วไป ทุกคนสามารถที่จะเห็นและดูของคนอื่นได้ ทำให้ทุกคนไปในทิศทางเดียวกัน และรู้ว่าทุกคน (หรือแต่ละคน) กำลังให้ความสำคัญหรือมุ่งเน้นในสิ่งใด

            อย่างไรก็ตาม OKRs ในยุคเริ่มแรกที่เกิดขึ้นในปี 1970 จนถึงปัจจุบันกว่า 50 ปี บริบทรอบตัวของธุรกิจเปลี่ยนไป การคำนึงแค่รูปแบบการกำหนด Objective และ Key Result แบบเดิมคงไม่สอดคล้องสภาพแวดล้อมในยุคดิจิตัล

            ฉะนั้น หลักสูตรนี้นับเป็นหลักสูตรแรกของประเทศไทยที่ใช้คำว่า Agile OKRs ซึ่งล้ำไปกว่า OKRs ปกติคือ เป็นการมุ่งเน้นการสร้าง OKRs ที่ใช้แนวคิดของ Agile และ Scrum เค้ามาเป็นแนวคิดในการใช้ระดมความคิดในการสร้าง OKRs นั่นเอง ดังนั้นท่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับ OKRs และ Agile นำไปปรับใช้ให้องค์การของท่านเป็นองค์การแห่งยุคสมัยใหม่ได้ ก็คือ Agility Organization นั่นเอง

 

วัตถุประสงค์

·        พื่อให้ผู้เข้าอบรมในทุกระดับได้เข้าใจแนวคิด วิธีการในการนำ OKRs มาปรับประยุกต์ใช้ในองค์การ

·        เพื่อให้ผู้เข้าใจได้เข้าใจความต่างการวัดผลแบบ KPI และ OKR มีรูปแบบต่างกันอย่างไร

·        เพื่อให้ผู้อบรมได้เข้าใจความต่างของ OKRs แบบเดิมกับ Agile OKRs ซึ่งใหม่และเท่าทันยุคสมัยมากกว่า

หัวข้อการอบรม

 1. Agile OKRs แนวคิดที่ตอบโจทย์ให้เราอยู่รอดได้ในยุค Disruption และ Transformation

   2. ทำไมต้องใช้ OKRs แล้วทำไมต้อง Agile OKRs มันมีประโยชน์ต่อองค์การเหมือนต่างกันอย่างไร

   3. OKRs การวัดผลการทำงานของบริษัทยุคใหม่ เช่น Google

  4. เปรียบเทียบแนวทางการใช้ KPI และ OKRs ที่ต่างกรรม และต่างวาระ

   5. การทำงานในแบบ Waterfall กำลังจะหมดไปแต่แทนที่ด้วย Agility

    6. Agile กับ Scrum คือแนวคิดการทำงานคนยุคดิจิตัล

     7. แค่ OKRs คงไม่พอ เพราะยุคนี้ต้อง Agile OKRs แล้ว

      8. การตรวจสอบวัฒนธรรมองค์การ และแนวทางการเตรียมความพร้อมสู่การกำหนด Agile OKRs

       6. การสร้าง One Direction: ทุกคนทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันด้วย Agile OKRs

       7. การสร้าง Passion และ Aspiration และ การ Focus งาน ด้วย Agile OKRs

       8.การสร้างกระบวนการทำงานที่ชัดเจนและวัดผลแบบให้พนักงานมีความสุขแบบ Agile OKRs

       9. แนวทางการกำหนด Agile Objective ด้วย Mission, Vision ที่มีเป้าหมายเชิงคุณค่าแบบ “RINEN”

       10. การกำหนด Setting Goal or Objective ที่ทรงพลังด้วยหลัก Coaching

       11. การกำหนด Key Result ของแต่ละเป้าหมายด้วยหลัก SMART

       12. การทำ To do list เพื่อเป็น Action Plan ด้วยหลัก VECF (Valid, Easy, Convenient and Fast) by Dr.Kriss

       13.การสื่อสาร Agile OKRs สู่ทั่วทั้งองค์การด้วยแนวคิด CFR ของ John Doerr

       14. สรุป และเสนอแนะ รวมถึง ถาม-ตอบ ข้อสงสัย

 

***จุดเด่นที่หลักสูตรนี้ไม่เหมือนใครในประเทศไทย:

          1.เราเน้นให้ผู้อบรมสามารถสร้างเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และผลลัพธ์ ที่ทรงพลังโดยไม่ใช่         สอนเพียงแค่ OKRs เป็นเครื่องมือการวัดผลที่ต่างจาก KPI

            2.แต่เราจะปลุกพลังในตัวผู้เข้าอบรมจนเข้าใจ และสามารถอยู่ในโลกธุรกิจในปัจจุบันว่า

                2.1 โลกธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลง (Change) แต่มันคือ เปลี่ยนรูป  (Transform)

                2.2 โลกธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่ถูกทำให้แพ้ (Defeat) แต่มันคือการทำลายล้างให้ หายไป  จากวงการธุรกิจ (Disruption)

          3.Agile OKRs ตอบโจทย์ไม่ใช่แค่การวัดผลที่เน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม แต่ Agile OKRs   คือการสร้างพฤติกรรมการทำงานแบบคนยุคดิจิตัลที่ต้อง กำหนดวัตถุประสงค์ที่ท้าทาย มีความใหม่และต่าง มี

          คุณค่า และมีผลลัพธ์ที่เป็นคุณค่าและมูลค่า ที่สำคัญมันคือการกำหนด OKRs ด้วยแนวคิด Agile และ Scrum คือการทำงานเป็นทีม ฝึกให้คนทุกคน สามารถ Self Organizing ตนเอง เหมือนรูปแบบการ   

         ทำงานของ Pit Stop F1 Team นั่นเอง คือ ผลลัพธ์นั้นๆต้อง รวดเร็ว แม่นยำ สะดวก และง่าย นั่นเอง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

          1.ทุกคนสามารถทำงานบนจุดมุ่งหมายเดียวกัน และปรับวัฒนธรรมองค์การสู่ความทันสมัยและสอดคล้องกับ     การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

            2.สามารถสร้างวินัย และ การ Focus งาน (ทำทีละงาน และทบทวนอย่างสม่ำเสมอ)

            3.สามารถสร้างกระบวนการทำงานที่ชัดเจนและวัดผลได้

            4.ทุกคนสามารถรู้งานที่สำคัญที่สุด (Top Priority) ขององค์กร ทีม และ ทุกคนในองค์กร

            5.สามารถสร้างความโปร่งใสของงานภายในบริษัท

 

 

 

รูปแบบการฝึกอบรม

            เราไม่ได้เน้นการบรรยายเท่านั้น แต่รูปแบบอบรมของเราเน้นแบบ Dialectic และ Active learning คือเชิงวิพากษ์ ด้วยการฝึกให้คิด ถาม แลกเปลี่ยนแนวคิดร่วมกัน

            เป็นการ Training and Coaching ควบคู่กันตลอดการอบรม

วิทยากร

     ดร.กฤษณะ บุหลัน

     ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาธุรกิจกิจเชิงนวัตกรรมสู่นานาชาติ

     มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC)


กำหนดการอบรม วันอังคารที่ 18  มิถุนายน 2562

เวลา 9.00 น. - 16.00 น.

 ณ โรงแรม อะไร้ซ์ สุุขุมวิท 26 กทม

สนใจสำรองที่นั่งกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ HR DEE SOLUTION

 

เบอร์โทร 087-0718100

 

Email:[email protected]

 

 


หน่วยงาน/บริษัท :

HR DEE SOLUTION

ชื่อผู้ติดต่อ :

K.TUK

โทร :

087-0718100

ข้อมูลผู้ลงประกาศ

หมายเลขประกาศ

4538

ลงประกาศวันที่

24 ธันวาคม 2559 เวลา 02:26 น.

หมวดหมู่หลัก

อบรม การบริหารจัดการ-กลยุทธ์ธุรกิจ

ลักษณะงาน

มีค่าใช้จ่าย

ราคา

5900

หน่วยงาน/บริษัท

HR DEE SOLUTION

ชื่อผู้ติดต่อ

K.TUK

เบอร์โทรศัพท์

087-0718100

สัมมนาที่คุณอาจสนใจ

บทความน่าสนใจ

สวมวิญญาณนักคิด ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล

สวมวิญญาณนักคิด ความสำเร็จอยู่ไม่ไกล

1.คิดเพื่อเริ่มการคิดเพื่อเริ่ม คือ เวลาคุณต้องการใช้ความคิดเพื่อสร้างระโยชน์ ต้องเริ่มจากการคิดให้เป็น ต่อมาต้องวิเคราะห์ความเป็นไปได้ว่า สิ่งที่จะทำนั้นจะสำเร็จไหม ซึ่งนับเป็นกระบวนการคิดขั้นแรกที่ทุกคนควรรู้ 2.หาไอดอลเมื่อคุณอยากเป็นนักคิด แล้วประสบความสำเร็จ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองหาไอดอลคนที่เป็นนักคิด นักสร้างสรรค์ผลงานดู เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน แล้วคุณก็จะถูกสวมวิญาณนักคิดเอง 3.ไม่ลอกผลงานใครนักคิดที่ดี ห้ามลอกผลงานใคร เพราะนักคิดต้องรู้จักสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง จะได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าภาคภูมิใจ ที่สำคัญส่งผลให้คนอื่นเชิดชูคุณจากใจจริงอีกด้วย 4.หาจินตนาการจินตนาการ คือ หนทางนำไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น วิธีสร้างจินตนาการง่ายๆ เลยคุณต้องลองวาดฝันว่า คุณอยากทำอะไร ต้องการประสบความสำเร็จด้านไหน แล้วตัวเองมีความถนัดเรื่องอะไร โดยต้องนำทั้งหมดมารวมกันเพื่อสร้างจินตนาการนั้นออกมา แล้วคุณก็จะเห็นลู่ทางในการลงมือทำเอง 5.ออกค้นหาการออกค้นหาสามารถให้อะไรคุณได้มากเลยทีเดียว ทั้งความรู้ แนวคิดใหม่ๆ จินตนาการ ความสร้างสรรค์ และอีกมากมาย ดังนั้น การออกค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการบนโลกกว้างก็ช่วยได้เยอะเช่นกัน 6.ลงมือทำการลงมือทำทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่มีความรู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเรื่องน่าอาย เพราะการลงมือทำนี่แหละช่วยให้คุณค้นพบความคิดใหม่ๆ แนวทางใหม่ ที่สำคัญอาจทำให้คุณมรประสบการณ์สร้างความสำเร็จได้โดยเร็วอีกด้วย 7.หาเวลาว่างให้ตัวเองการมีเวลาว่างเพื่อคิดอะไรบ้างอย่างในสถานที่ที่เงียบสงบ สะดวกต่อการคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ก็สามารถช่วยให้ความคิดไหลลื่น และแตกฉานได้โดยง่าย ดังนั้น ลองหาเวลาว่าง และสถานที่สงบๆ คิดหาความก้าวหน้าดู แล้วคุณจะพบจุดจบแห่งความสำเร็จอย่างแน่นอน 8.อ่านให้เยอะการอ่านให้เยอะๆ คือ การศึกษาความรู้จากตำรา หรือแหล่งความรู้ทั่วไป ซึ่งการที่คุณมีความรู้ มักจะช่วยให้คุณสามารถคิดและวิเคราะห์ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกมากมาย เพียงใช้ความรู้ทั้งหมดมาปฏิบัติให้สำริดผลก็เพียงพอ 9.หาตัวช่วยตัวช่วยที่ดี คือ ช่วยคิด ช่วยวิเคราะห์ และช่วยไตร่ตรอง เพราะบางทีความคิดคุณคนเดียวอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุด จึงต้องมีตัวช่วยอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดหลายแนวความคิดนั่นเอง 10.ดูแล้ววิเคราะห์การวิเคราะห์ผลงานคนอื่น ช่วยให้สมองเกิดกลไก และมีการทำงานที่ดีขึ้น อีกทั้ง ช่วยให้คุณสามารถนำความรู้จากการวิเคราะห์นี้ไปต่อยอดความสำเร็จของตัวเองได้ และเป็นวิธีที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องของงาน หรือการดำรงชีวิตของตนเอง

“ฟังสัมมนาอย่างไร ให้ก้าวหน้า!!”

“ฟังสัมมนาอย่างไร ให้ก้าวหน้า!!”

“ฟังสัมมนาอย่างไร ให้ก้าวหน้า!!”“ฟังสัมมนาอย่างไร ให้ก้าวหน้า” ลักษณะของงานสัมมนาทั่วไปเป็นกิจกรรมที่แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ “การประชุม” และ “วิธีการสอน” >>เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น>>หาข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง>>หาทางออกให้กับปัญหาแต่สำหรับใครที่อยากประสบความสำเร็จต้องฟัง แล้ววิเคราะห์ และทดลอง ดังนั้น เรามาดูกันว่า ฟังสัมมนาอย่างไร ให้มีความรู้ และก้าวหน้าได้อย่างสำเร็จ1.ฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายโดยทั่วไปจุดมุ่งหมายของการฟังมี 3 อย่าง คือ ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน , ฟังเพื่อความรู้ , ฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงใจ ดังนั้น เมื่อใครที่เข้าสัมมนาแล้วมีจุดมุ่งหมายคือ “ความสำเร็จ”ต้องตั้งใจฟังเพื่อความรู้ และตักตวงความรู้จากการฟังให้มากที่สุด ถ้าความจำไม่ค่อยดี ก็ใช้วิธีจดบันทึก เพื่อเก็บความรู้ให้มากที่สุด 2.มีความพร้อมการที่คุณมีความพร้อม ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ตลอดจนมีความพร้อมทางสติปัญญา พร้อมทางร่างกาย    เช่น   สุขภาพทางร่างกายเป็นปกติ ไม่เหนื่อย ไม่อิดโรย และต้องพร้อมทางจิตใจด้วย เพื่อให้เวลาฟังสัมมนาจะได้มีสติฟังอย่างเข้าใจ แล้วทุกอย่างจะดีเอง 3.ฟังโดยมีสมาธิสมาธิ คือ สิ่งที่สำคัญสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งการฟังโดยมีสมาธิ หมายถึง ฟังด้วยความตั้งใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง ไม่ปล่อยจิตใจให้เลื่อนลอยไปที่อื่น ไม่เช่นนั้น ความรู้ที่คุณจะได้รับกลายเป็นศูนย์อย่างแน่นอน 4.กระตือรือร้นใครที่ฟังสัมมนาความรู้มีความกระตือรือร้น มักจะเป็นผู้ฟังที่มองเห็นประโยชน์หรือเห็นคุณค่า จึงสนใจฟังเรื่องนั้นจริงๆ ซึ่งความกระตือรือร้นส่งผลดี ทำให้จิตใจ และความตั้งใจที่จะเก็บเกี่ยวความรู้ได้มากที่สุด ไม่เพียงเท่านี้ ยังทำให้สมองเปิดรับความรู้ได้จำนวนมากอีกด้วย 5.ไม่มีอคติคนที่มีอคติ ย่อมทำให้จิตใจร้อน ปิดการรับฟัง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเลย เพราะถ้าหากต้องการฟังสัมมนาให้เกิดความรู้ และความเข้าใจไม่ว่าคุณจะมีอคติอะไรก็ตามแต่ ต้องปล่อยวาง และแยกะแยะ มุ่งศึกษาหาความรู้ดีกว่า ที่สำคัญการไม่มีอคติต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้เป็นโทษแก่ผู้อื่น 6.มีมารยาทในการฟังมารยาทในการฟังที่ดี ต้องรู้จักเคารพผู้พูด และคนรอบข้าง โดยการแสดงความกระตือรือร้นที่จะฟัง ตั้งคำถามตามความเหมาะสม ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป และต้องไม่ใช้อารมณ์หรือนิสัยส่วนตัวมาตัดสินเรื่องต่างๆ ในห้องสัมมนาด้วย 7.มีความประสงค์ที่แน่นอนเมื่อคุณเลือกที่จะเข้าสัมมนาเพื่อไปหาความรู้ นั่นคือความประสงค์ของคุณ ดังนั้น ต้องพยายามฟังให้ได้ตามความจุดหมายมากที่สุด โดยใช้วิจารณญาณเลือกฟังแต่เรื่องที่ควรฟังและหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่เหมาะสม รู้จักแยกแยะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงและความคิดเห็น รู้จักใช้เหตุผลประกอบในการแสดงความเห็น โดยต้องรู้จักใช้ศิลปะในการฟังด้วย 8.แยกแยะข้อเท็จจริงเมื่อฟังสัมมนาความรู้แล้ว อย่าเชื่อไปทุกเรื่องที่ได้ฟังมา คุณต้องนำข้อมูลนั้นมาพิจารณาให้เห็นถึงข้อเท็จจริง ถ้าข้อมูลไหนที่ไม่แน่ใจต้องไปค้นหาคำตอบ หรือยกมือเพื่อสอบถามให้ได้รายละเอียดที่แน่ชัด เป็นต้น 9.ดูเจตนาของผู้พูดผุ้ฟังที่ดี ที่ต้องการได้ความรู้จากการฟังสัมมนา เพื่อใช้เป็นแนวทางหาหนทางความสำเร็จ ต้องรู้จักดูเจตนาของผู้พูด เพราะบางครั้งผู้พูดอาจบอกเล่า แถลงการณ์รายงานเรื่องราวต่างๆหรือพูดนอกเรื่องไปต่างๆ นานา ฉะนั้น ผู้ฟังต้องพิจารณาถึงข้อมูลที่มีสาระกับไม่มีสาระให้ถูกต้อง เพื่อการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 10.ความสำคัญของเรื่องที่พูดผู้ฟังต้องวิเคราะห์ถึงความสำคัญและความเป็นมาของเรื่องที่ผู้พูดให้ดีๆ ว่าผู้พูดได้แสดงความสำคัญเรื่องนั้นๆ อย่างไรบ้าง และมีประโยชน์ต่อตัวคุณเองมากน้อยแค่ไหนเพราะการที่เราจดทุกรายละเอียดที่พูด อาจทำให้ข้อมูลที่สำคัญหล่นหลายไปได้ จึงควรแยะความสำคัญของเรื่องที่ฟังด้วย ดังนั้น คุณเองก็ต้องย้อนกลับไปอ่านข้อที่ 1 ด้วยว่าตัวคุณเองมีจุดมุ่งหมายอย่างไรกับการเข้าฟังสัมมนาในครั้งนี้

10 คุณสมบัติของการเป็นผู้นำ

10 คุณสมบัติของการเป็นผู้นำ

อยากประสบความสำเร็จต้องมีสิ่งนี้เป็นพื้นฐาน ภาวะการเป็นผู้นำไม่ใช่ว่าหัวหน้างาน ผู้จัดการเท่านั้นที่ต้องมีแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะมี เพราะมีความสำคัญต่อการทำงานมากๆผู้นำที่ยอดเยี่ยม ต้องมีวิสัยทัศน์ มีความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน1.เห็นคุณค่าผู้นำที่ชาญฉลาดจะให้ความสำคัญกับทีมและบุคคล เพราะตระหนักว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความช่วยเหลือของทีม ยิ่งไปกว่านั้นการเห็นคุณค่ายังช่วยให้กำลังใจพัฒนาความเชื่อมั่นและสร้างจุดแข็งอีกด้วย 2.มั่นใจความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในการเป็นผู้นำเป็นตัวบ่งชี้ ความน่าเชื่อถือและความพึงพอใจของพนักงาน ผู้นำที่ดีต้องไม่กลัวที่จะถูกท้าทายด้วยอุปสรรคปัญหาใหม่ๆ 3.ความเห็นอกเห็นใจผู้นำที่ดีจะใช้ความเห็นอกเห็นใจในการรับรู้ ถึงความต้องการของผู้ที่พวกเขาเป็นผู้นำและตัดสินใจเลือกแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ สูงสุดแก่บุคคลและทีมงาน 4.กล้าหาญผู้นำต้องกล้าที่จะตัดสินใจในทันที ไม่แสดงท่าทีลังเลหรือขาดความมั่นใจ ความกล้าหาญของผู้นำจะสร้างขวัญกำลังใจให้กับลูกทีมได้ดี 5.มีความยืดหยุ่นผู้นำที่ดีสามารถยืดหยุ่นได้ พวกเขาปรับเปลี่ยนตนเอง ตามสถานการณ์บริบทและสถานการณ์ที่พวกเขาพบ พวกเขายินดีต้อนรับแนวคิดใหม่ๆและยอมรับ การเปลี่ยนแปลง 6.ซื่อสัตย์ผู้นำที่ฉลาดไม่กลัวที่จะสื่อสารความจริงกับคนของพวกเขา ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องของความสุจริต ที่จะสร้างความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น 7.หนักแน่นไม่กลัวปัญหาที่ต้องเผชิญ มีสติและรู้เสมอว่าทุกปัญหา ต้องผ่านไปได้เสมอมีจุดยืนของตัวเองกล้าหาญที่จะยืนหยัด รักษาความถูกต้อง แม้จะเจอกับอุปสรรค ผู้นำต้องหนักแน่นและไม่ท้อถอยง่ายๆ ไม่งั้นคุณก็ป็นเพียงผู้ที่เกิดมาเพื่ออยู่ ภายใต้บังคับบัญชาเท่านั้น 8.ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดผู้นำที่ดีต้องมีความเป็นกลาง ไม่อคติกับผู้ร่วมงาน เพราะอาจส่งผลให้คนในทีมเขม่นกันเอง ประสิทธิภาพของงานก็ด้อยลงเพราะทีมขาดความสามัคคี 9.ตอบสนองผู้นำที่ดีจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชา รู้จักปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด คอยรับฟังทีมและให้ความสำคัญกับทีม 10.นอบน้อมความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ หรือไม่มั่นใจในตนเอง แต่ชี้ให้เห็นว่าคุณมีความมั่นใจ ในตนเองและมีความตระหนักในตนเองในการรับรู้ คุณค่าของผู้อื่น

10 เคล็ดลับสร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ

10 เคล็ดลับสร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ

1.ทำสิ่งที่ไม่เคยทำไปในที่ที่ไม่เคยไป เมื่อไหร่ที่ชีวิตได้ลองทำหรือได้ไปในสถานที่แปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้วล่ะก็ ความเบื่อหน่าย อาการเนือยๆ มันจะหายไปภายในพริบตาเดียว คุณจะรู้สึกว่าชีวิตยังมีอะไรที่น่าค้นหาอีกเยอะ แล้วแรงบันดาลใจจะหลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว 2.มองโลกในแง่ดีคนมองโลกในแง่ดี มักมีโอกาสดีกว่าคนอื่น เพราะเมื่อมองทุกอย่างเป็นบวก ก็ช่วยให้มีสุขภาพจิตดี ความคิดโปร่งใส และทำให้เกิดจินตนาการและแรงบันดาลใจที่ดีเกิดขึ้นมาได้ 3.ควรสร้างทัศนะคติแบบ “ฉันทำได้”นี่คือหนึ่งในทัศนะคติที่สำคัญที่สุดในการที่จะประสบความสำเร็จ คนเรามีโอกาสเข้ามาในชีวิตมากมายแต่หลาย ๆ คนก็ได้ปฏิเสธโอกาสเหล่านั้นด้วยคำว่า “ทำไม่ได้” ซึ่งทำให้หลายๆ คนล้มเหลว เมื่อเราคิดว่า “เราทำได้” ร่างกายทุกอย่างก็จะเกิดการตอบสนองต่อความคิดนี้และเราก็จะเห็นเราสามารถทำสิ่งต่างๆได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้ประสบความสำเร็จ 4.รู้จักบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดทุกคนในโลกนี้มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างคือ ใครใช้เวลาที่มีอยู่นั้นได้คุ้มค่ากว่ากัน ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับเป้าหมายของตนหรือไม่ เมื่อตระหนักได้ตามนี้จะทำให้รู้ว่าควรมุ่งมั่นต่อเป้าหมายของตนและดำเนินชีวิตได้ดียิ่งขึ้น 5.ความผิดพลาดมีไว้ให้เรียนรู้ไม่ได้มีไว้ให้เจ็บช้ำหรือโศกเศร้าเสียใจ แน่นอนว่าเราทุกคนไม่สามารถห้ามการเสียใจหรือโศกเศร้าเมื่อเกิดความผิดพลาดได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ เมื่อรู้ว่าผิดพลาดแล้วให้คิดหาสาเหตุของความผิดพลาดนั้น แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นได้อีก 6.จดบันทึกคนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวัน ในการคิดเพื่อที่จะคิดอย่างมีประสิทธิภาพ การจดบันทึกจะช่วยให้เราจำสิ่งๆนั้นได้ดีขึ้นหลายเท่า นอกจากนี้คุณยังสามารถจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ เช่น ความสำเร็จ ความล้มเหลว ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้เมื่อเราได้ย้อนกลับมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง 7.การหาแบบอย่างหรือบุคคลตัวอย่างโดยเฉพาะบุคคลที่ประสบความสำเร็จหรือบุคคลที่เราอยากจะมีชีวิตแบบเขาก็เป็นอีกทางหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจขึ้นภายในตนเอง ศึกษาว่าเขามีแนวคิด แนวปฏิบัติอย่างไรจึงประสบความสำเร็จเราก็สามารถนำเอามาสร้างแรงบันดาลใจเพื่อต้นแบบสู่ความสำเร็จของเราได้ 8.มีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนก่อนจะพิชิตเป้าหมาย ต้องรู้ก่อนว่า เป้าหมายของเรานั้นคืออะไร เป้าหมายที่ชัดเจนทำให้เรารู้ว่าต้องการจะเป็นอะไร ผู้ที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตก็เหมือนคนที่ไม่มีแรงผลักดัน ขาดแรงจูงใจ และจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต 9.การอ่านหนังสือดีๆหนังสือที่ดีสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ ผู้นำในหลายๆประเทศได้อ่านเรื่องเรื่องของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ทางการเมือง ผู้นำประเทศเหล่านั้นจึงได้สร้างแรงบันดาลใจในตัวเองขึ้น เขาเหล่านั้นจึงเกิดความต้องการที่จะเป็นผู้นำประเทศเหมือนกับชีวประวัติของผู้นำในหนังสือบ้าง 10.การเขียนเป้าหมายคือการสร้างภาพความฝัน ที่เราเองต้องการอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะตอนก่อนเข้านอน ในโลกนี้มีกฎแห่งการดึงดูด หากหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดเป็นประจำ ก็มักจะได้สิ่งนั้น ดังนั้นวิธีง่ายๆ จงคิดถึงมัน จึงฝันถึงมัน จงจินตนาการถึงเป้าหมายของเราบ่อยๆ แล้วชีวิตของคุณก็จะเดินทางไปสู่เป้าหมายหรือความฝันของตนเองได้สำเร็จในที่สุด “ฝันให้ไกล…แล้วไปให้ถึง”